19 C Mumbai
Monday 2nd June 2025
ทำไมรถยนต์เกียร์อัตโนมัติของคุณถึงเร่งไม่ขึ้น — และคุณควรทำอย่างไร
By Willie Phillips

ทำไมรถยนต์เกียร์อัตโนมัติของคุณถึงเร่งไม่ขึ้น — และคุณควรทำอย่างไร

นี่คือสถานการณ์ที่ผู้ขับขี่หลายคนไม่อยากเจอ: คุณเหยียบคันเร่ง แต่รถกลับไม่ตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็น เครื่องยนต์เร่งเสียงดังขึ้น แต่รถกลับรู้สึกอืดหรือไม่สามารถเร่งความเร็วได้ตามต้องการ ปัญหานี้พบได้บ่อยในรถที่มีอายุมากหรือมีระยะการใช้งานสูง และอาจสร้างความหงุดหงิดหรืออันตรายได้หากเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะรถเกียร์อัตโนมัติที่มักเจอกับปัญหานี้มากกว่ารถเกียร์ธรรมดา

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสาเหตุทั่วไปที่ทำให้รถเกียร์อัตโนมัติของคุณเร่งไม่ขึ้น และแนวทางในการแก้ไขปัญหา

1. น้ำมันเครื่องเก่าหรือเสื่อมสภาพ

หนึ่งในสาเหตุพื้นฐานที่มักถูกมองข้ามเกี่ยวกับอาการเร่งไม่ขึ้น คือ น้ำมันเครื่องที่เก่าหรือเสื่อมสภาพ เมื่อเวลาผ่านไป น้ำมันเครื่องจะสูญเสียความสามารถในการหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้แรงเสียดทานเพิ่มขึ้น สมรรถนะลดลง และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงขึ้น

หากคุณไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตแนะนำ เครื่องยนต์ของคุณอาจต้องทำงานหนักเกินไป จนเกิดอาการเร่งไม่ขึ้น เครื่องยนต์ร้อนเกิน หรือแม้แต่เสียหายระยะยาวได้

แนวทางแก้ไข:
เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องตามระยะที่แนะนำ (โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 5,000–10,000 กิโลเมตร) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมันและลักษณะการขับขี่ของคุณ

2. เติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป

แม้จะดูขัดแย้งในตัวเอง แต่การเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไปก็อันตรายได้ไม่แพ้การเติมน้อยเกินไป น้ำมันที่มากเกินไปจะสร้างแรงดันภายในห้องเครื่องสูงเกินจำเป็น และเมื่อเพลาข้อเหวี่ยงหมุน มันจะตีฟองน้ำมัน ส่งผลให้คุณสมบัติการหล่อลื่นลดลง และสร้างแรงต้านการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์ ส่งผลต่อสมรรถนะและอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย

คุณอาจสังเกตอาการได้จากการที่รถเร่งไม่ขึ้น หรือรู้สึกหนักเวลาเหยียบคันเร่ง ในกรณีรุนแรงอาจเกิดการรั่วซึมหรือไฟเตือนขึ้นบนหน้าปัด

แนวทางแก้ไข:
ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องด้วยก้านวัด หากเกินขีด “MAX” ให้ถ่ายน้ำมันเครื่องออกจนระดับอยู่ในช่วงที่ปลอดภัย

3. หัวเทียนสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ

หัวเทียนอาจเป็นชิ้นส่วนเล็กและราคาถูก แต่มีบทบาทสำคัญมากต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน เพราะทำหน้าที่จุดระเบิดของส่วนผสมระหว่างอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงในห้องเผาไหม้ เมื่อหัวเทียนสึกหรอ ประสิทธิภาพในการจุดระเบิดจะลดลง ทำให้เกิดอาการเครื่องสะดุด แรงตก และเร่งไม่ขึ้น

หากรถของคุณใช้งานมาเกิน 40,000 กิโลเมตร และยังไม่เคยเปลี่ยนหัวเทียนเลย ตอนนี้อาจถึงเวลาแล้ว การเปลี่ยนหัวเทียนใหม่จะช่วยให้การขับขี่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

แนวทางแก้ไข:
เปลี่ยนหัวเทียนเก่าด้วยของใหม่ โดยควรเลือกใช้ของแท้เพื่อความทนทานและการทำงานที่เหมาะสม

4. ไส้กรองอากาศอุดตัน

เครื่องยนต์จำเป็นต้องได้รับส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไส้กรองอากาศสกปรกหรืออุดตัน อากาศจะไหลเข้าเครื่องยนต์ได้น้อยลง ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เร่งไม่ขึ้น กินน้ำมันมากขึ้น และอาจมีไฟเตือนบนหน้าปัด

ไส้กรองอากาศที่อุดตันมักเกิดจากการขับในพื้นที่มีฝุ่นมากหรือไม่ได้บำรุงรักษาตามรอบ

แนวทางแก้ไข:
ตรวจสอบไส้กรองอากาศเป็นประจำ หากสกปรกเล็กน้อย อาจใช้ลมเป่าทำความสะอาดได้ แต่ถ้าสกปรกมากควรเปลี่ยนใหม่โดยเลือกใช้ของแท้หรือของคุณภาพดี

5. คอยล์จุดระเบิดเสีย

หากเครื่องยนต์เดินเบาสะดุด มีแรงสั่นเวลาเดินเบา และเร่งไม่ขึ้น โดยเฉพาะหากมีไฟ Check Engine ขึ้นบนหน้าปัด อาจเกิดจากคอยล์จุดระเบิด (Ignition Coil) เสีย ในเครื่องยนต์ยุคใหม่มักมีคอยล์แยกสำหรับแต่ละสูบ หากคอยล์ตัวใดตัวหนึ่งเสีย จะทำให้สูบนั้นไม่ทำงานอย่างถูกต้อง ทำให้กำลังตกทันที

ตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์ 4 สูบจะมี 4 คอยล์ หากเสียไป 1 สูบ เท่ากับคุณขับรถด้วยกำลังแค่ 3 สูบเท่านั้น

แนวทางแก้ไข:
ให้อู่หรือช่างทำการวิเคราะห์ด้วยเครื่องตรวจสอบ (Scan Tool) เพื่อระบุตัวคอยล์ที่เสีย และเปลี่ยนด้วยคอยล์แท้เพื่อความทนทานในระยะยาว

6. ปัญหาในระบบเกียร์อัตโนมัติ

อีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้รถเกียร์อัตโนมัติเร่งไม่ขึ้นคือ ปัญหาภายในระบบเกียร์ เช่น เครื่องยนต์เร่งรอบแต่รถไม่เคลื่อน (อาการเกียร์ลื่น) การเข้าเกียร์ล่าช้า หรือรถไม่ยอมขยับจนกว่าเครื่องจะร้อน

สาเหตุเหล่านี้อาจเกิดจากน้ำมันเกียร์เก่าหรือปริมาณไม่เพียงพอ ชิ้นส่วนภายในเกียร์สึกหรอ หรือทอร์กคอนเวอร์เตอร์เสีย หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่การซ่อมที่มีค่าใช้จ่ายสูงและอันตรายในการขับขี่

แนวทางแก้ไข:
เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่ผู้ผลิตแนะนำ หากยังมีปัญหา อาจต้องยกเกียร์ซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์มือสองที่ผ่านการฟื้นฟูคุณภาพมาแล้ว

ควรไปพบช่างเมื่อใด?

หากคุณได้ลองบำรุงรักษาเบื้องต้นแล้วแต่รถยังเร่งไม่ขึ้น ควรพาไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว เครื่องมือวิเคราะห์ (Diagnostic Tools) สามารถช่วยตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนกว่า เช่น หัวฉีดน้ำมันมีปัญหา กล่อง ECU เสีย หรือสายไฟในระบบเครื่องยนต์มีปัญหา

ช่างที่มีความชำนาญจะสามารถตรวจสอบโดยละเอียดและให้คำแนะนำว่าควรซ่อมแซม เปลี่ยนชิ้นส่วน หรือแก้ไขระบบใด

เคล็ดลับป้องกันไม่ให้รถเร่งไม่ขึ้น

  • บำรุงรักษาตามระยะ: อย่ารอให้เกิดอาการจึงค่อยซ่อม ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ไส้กรอง และหัวเทียนตามรอบ
  • ใช้อะไหล่คุณภาพ: อะไหล่แท้หรือของเทียบคุณภาพสูงอาจราคาสูงกว่า แต่ใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัยกว่า
  • อย่ามองข้ามไฟเตือน: ไฟ Check Engine คือวิธีที่รถส่งสัญญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติ
  • ฟังและสัมผัส: หากรู้สึกว่ารถมีอาการผิดปกติ เช่น เร่งไม่ขึ้น มีแรงสั่น หรือเสียงแปลก ๆ อย่านิ่งนอนใจ
  • ตรวจเช็กประจำปี: ถึงแม้จะไม่มีปัญหา ควรให้ช่างตรวจเช็กสภาพรถประจำปีเพื่อตรวจพบปัญหาก่อนลุกลาม

สรุป

อาการเร่งไม่ขึ้นของรถเกียร์อัตโนมัติสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างน้ำมันเครื่องเก่า ไปจนถึงปัญหาซับซ้อนในระบบเกียร์ สิ่งสำคัญคืออย่ามองข้ามอาการเหล่านี้ เพราะการวินิจฉัยและแก้ไขแต่เนิ่น ๆ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ยืดอายุการใช้งานของรถ และทำให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น

จำไว้ว่ารถของคุณสื่อสารกับคุณผ่านการเปลี่ยนแปลงของสมรรถนะและสัญญาณเตือนต่าง ๆ ยิ่งคุณตอบสนองเร็วเท่าไร โอกาสในการรักษารถให้ทำงานได้ดีอย่างยาวนานก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

หากรถของคุณมีอาการเร่งไม่ขึ้นในตอนนี้ อย่ารอช้า — พาไปที่ศูนย์บริการหรือช่างที่ไว้ใจได้เพื่อการวินิจฉัยและซ่อมแซมอย่างถูกต้อง ความอุ่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่นั้นมีค่ามากกว่าที่คุณคิด

บทความที่เกี่ยวข้อง

เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วม โดยรถไม่ดับเครื่องไม่พัง 

  • No Comments
  • May 28, 2025