ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีมาตรการการครอบครองปืนขั้นเด็ดขาดได้หรือยัง?!?
เมื่อสื่อทั่วโลกแห่รายงานเหตุการณ์กราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 33 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือเด็กเล็กที่อยู่ในช่วงอนุบาล! และต่างมีข้อชี้ตรงกันว่า ประเทศไทยมีอัตราการครองปืนสูงสุดในภูมิภาค!!
จากโศกนาฏกรรม กราดยิงภายในศูนย์เด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู โดยผู้ก่อเหตุคืออดีตนายตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการ อันเนื่องจากมีความประพฤติที่มิชอบด้วยหน้าที่ของความเป็นผู้รักษาความสงบและปราบปรามสิ่งผิดกฏหมาย แต่กลับเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง จึงได้มีมติจากผู้บัญชาการให้สิ้นสุดหน้าที่ จนเจ้าตัวเกิดความเครียดและได้ก่อเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะถือเอาเด็กเล็กผู้มีจิตบริสุทธิ์ไร้หนทางสู้ เป็นที่ระบายและดับความเกรี้ยวกราดก่อนจะจบชีวิตตนเองและลูกเมียหนีความผิดหลังจากได้พรากชีวิตทั้งเด็กผู้ไร้เดียงสา ครูที่กำลังตั้งครรภ์ และคู่พ่อ-ลูกที่อยู่ในศูนย์ฯ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย?
เหตุการณ์เช่นนี้เริ่มมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ และล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน เมื่อเดือน ก.พ. 2563 ที่เกิดเหตุจ่าคลั่งกราดยิงผู้คนที่ จ.นครราชสีมา จนมีผู้เสียชีวิตถึง 31 ราย และบาดเจ็บอีก 58 คน แล้วมาเกิดเหตุซ้ำเมื่อวาน คือ วันที่ 6 ต.ค.2565 โดยอดีตตำรวจบุกกราดยิงที่ศูนย์เด็กเล็กฯ แต่ต่างที่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ในครั้งนี้คือ เด็กเล็ก ผ้าขาวที่ไม่มีโอกาสได้เติบโตแต่งแต้มสีสัน ได้ถูกพรากชีวิตไปจากหัวอกคนเป็นพ่อและแม่ นี่ยังไม่นับเหตุการณ์ยิงฆ่ากันตายที่เกิดขึ้นแทบทุกวันในทุกปี บทเรียนราคาแพงที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง มีแต่สร้างความโศกเศร้าให้กับคนที่รับรู้ และความเจ็บปวดไปตลอดชีวิตของผู้สูญเสีย แต่ทำไมบทเรียนราคาแพงเหล่านี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที
การครอบครองปืนในประเทศไทยทำไมมันง่ายเสียเหลือเกิน แม้แต่เยาชนที่ไม่บรรลุนิติภาวะก็มีปืนออกมากวัดแกว่ง ยิงใส่กันเสมือนกำลังถ่ายทำหนังที่ขยันผลิตออกมาให้เป็นตัวอย่าง แม้ว่าจุดประสงค์เพื่อความบันเทิง แต่อาจลืมใส่ใจในรายละเอียดถึงผลที่จะตามมา รวมไปถึงการหาซื้อปืนและอาวุธต่าง ๆ ในเมืองไทยนั้นก็แสนจะง่ายดายเสียเหลือเกิน มีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ซื้อ-ขายเสรีเหมือนซื้อผัก ซื้อปลา และเมื่อเกิดเหตุยิงกันครั้งใด ตำรวจก็เพียงแค่เข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ แล้วก็แจ้งว่าไม่พบ ไม่เจอ หรืออาจเป็นเพียงแค่ข่าวดังที่ทุกสื่อโหมกระพือ และโหนกระแสให้สะพัดเพื่อขายข่าวของช่อง แล้วสุดท้ายก็จะหายไปในอากาศธาตุ และอาจมีการพูดถึงเป็นครั้งคราวเมื่อถึงวาระเท่านั้น
ทำไมสัดส่วนผู้ครอบครองปืนในประเทศไทยสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน? หวังให้ได้คำตอบจากผู้ที่มีอำนาจและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการครอบครองอาวุธปืนในประเทศไทย …. ฮัลโหลววว ก็คงมีเสียงปลายสายกลับมาว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เท่านั้น เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก วนลูปกลับมาสะกิดความทรงจำและสร้างความหวาดผวาครั้งใหม่ให้คนไทยไม่จบไม่สิ้น
ปัจจุบันคนไทยที่มีอาวุธปืนและครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีกฏหมายอย่างชัดเจน ในมาตรา 7 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำ มี ซื้อ ใช้ สั่ง หรือนำเข้า ซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) และหากผู้ใดมีหรือครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่จะต้องมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 – 20,000 บาท โดยไม่ละเว้นแม้แต่ปืนปากกา ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธปืนชนิดหนึ่งและเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกทะเบียนให้ได้ ผู้ใดมีความครอบครองถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น
มาตรา 8 ทวิ บัญญัติ ห้ามมิให้ผู้ใดพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์
หากพกพาอาวุธปืนติดตัว หรือแม้แต่ข้อหาปืนปากกาติดตัวไปในที่สาธารณะ เข้าห้างสรรพสินค้า โรงเรียน หรือแม้กระทั่งเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนและถูกกฏหมาย หากไม่ได้รบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีอาวุธปืนติดตตัวแล้ว ผู้นั้นถือว่ามีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีพกพาอาวุธโดยเปิดเผย เช่น ถืออาวุธปืนหรือเหน็บที่ใดที่หนึ่งที่ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้ หรือพกพาไปในที่ชุมนุมชนที่จัดให้มีขึ้นเพื่องานนมัสการ งานรื่นเริง หรืองานมหรสพ ผู้พกพาดังกล่าวจะต้องรับโทษหนัก คือ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 บาท และแม้ผู้ได้อาวุธปืนโดยเปิดเผยหรือพกพาไปในชุมนุมชน ซึ่งจัดให้มีขึ้นเพื่องานนมัสการ งานรื่นเริง หรืองานมหรสพ ผู้นั้นก็ยังถือว่ามีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ปืนผิดมือ ฎีกาคือ ต่อให้เป็นปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้มีไว้ครอบครอง เมื่อผู้อื่นนำอาวุธปืนดังกล่าวไปพกพากับนำพาอาวุธปืนไว้ในครอบครอง ก็มีความผิดเช่นเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเรียกว่า การครอบครองปืนผิดมือ
เห็นได้ว่าในตัวบทกฏหมายการถือเอาครองอาวุธปืนนั้นมีอยู่ชัดเจน แต่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มี และแทบจะไม่มีค่าให้ประชาชนยึดถือ เมื่อผู้รักษากฏหมายกลับเป็นผู้ทำผิดเสียเอง ทั้งที่ต้องรู้ข้อห้ามและบทลงโทษมากกว่าประชาชนทั่วไป และต่อให้มีการเยียวยาผู้เสียหายมากเท่าไร ลองคิดกลับกันว่า หากคุณเป็นผู้สูญเสีย คุณต้องการเงิน หรือ ต้องการคนที่คุณรัก มากกว่ากัน?
ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรจริงจังกับมาตรการครอบครองอาวุธปืนขั้นเด็ดขาดได้หรือยัง? เป็นคำถามที่ฝากไปกับสายลมและอากาศ เผื่อจะถึงทั้งผู้มีอำนาจในการจัดการให้เด็ดขาด ให้หมึกและตัวอักษรบนกระดาษได้ศักดิ์สิทธิ์ และเป็น กฏ เป็น บทข้อห้าม สมกับเป็นกฏหมายจริง ๆ เสียที รวมไปถึงจิตสำนึกของผู้ครอบครองอาวุธปืน ผู้ซื้อปืน ผู้จำหน่ายปืน ว่าคุณควรมีความรับผิดชอบเพียงแค่ที่มีอยู่หรือควรมีมากกว่านี้?